ปัญหาครอบครัวแตกแยกถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราพบกันได้ทั่วไป บางครอบครัวสามารถมูฟออนต่อไปได้ โดยที่ลูกไม่จำเป็นต้องมีพ่อหรือแม่ แต่สำหรับบางครอบครัวกลับไม่เป็นเช่นนั้น
*ชื่อของบุคคลในเรื่องทั้งหมดถูกเปลี่ยนเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและเพื่อป้องกันความจริงที่ถูกเปิดเผย*
1. เมื่อลูกต้องการพ่อ
นี่คือเรื่องราวของ เมกุมิ เด็กสาวที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อของเธอหายไปจากชีวิตโดยไม่เคยกลับมาอีก อาซาโกะ ผู้เป็นแม่ได้รับคำถามจากเด็กน้อยเสมอว่าพ่อของเธออยู่ไหน
แต่การที่พ่อของเธอไม่อยู่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ จนกระทั่งเมกุมิอายุได้ 10 ขวบ อาซาโกะเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกสาวเปลี่ยนไป จู่ ๆ เธอก็ไม่คุยกับแม่และเริ่มเก็บตัวจนถึงขนาดไม่ยอมไปโรงเรียน
ต่อมาอาซาโกะทราบว่า ลูกสาวของเธอถูกกลั่นแกล้งจากที่โรงเรียนและเอาแต่โทษตัวเองเกี่ยวกับการที่เธอไม่มีพ่อ การกลั่นแกล้งกันในที่โรงเรียนถือเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะลูกที่มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว
อาซาโกะเริ่มใจสลาย หลังจากที่ปรึกษากับคุณครูของเมกุมิ เธอตัดสินใจที่จะมอบสิ่งที่ลูกสาวของเธอต้องการมากที่สุด แม้นั่นอาจจะหมายถึงการโกหกก็ตาม
2. ตามหานักแสดง
อาซาโกะตัดสินใจหาข้อมูลและพบว่ามีบริษัทในญี่ปุ่นที่มีบริการ “เช่านักแสดง” เพื่อไปรับบทบาทต่าง ๆ ได้ เช่น ญาติปลอม ๆ, แขกที่มาร่วมงานแต่ง หรือแม้บทแฟน เธอจึงตัดสินใจที่จะเช่าใครสักคนเพื่อมารับบทเป็นพ่อของเมกุมิที่พลัดพรากจากกันไปนาน
อาซาโกะคัดเลือกผู้ชายที่น่ามีแววมาทั้งหมด 5 คน และในที่สุดเธอก็เลือก “ทาคาชิ” ที่มีนิสัยคุยง่ายและใจดี เขามีบริษัทให้เช่านักแสดงเป็นของตัวเองโดยมีพนักงานกว่า 20 คน รวมถึงฟรีแลนซ์มากกว่า 1,000 คน ที่สามารถรับบทบาทหรือมีบุคลิกภาพตามที่ลูกค้าต้องการได้
ทาคาชิเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มากมาย เขาเคยรับบทบาทเป็นทั้งแฟนหนุ่มให้กับหญิงสาว เป็นนักธุรกิจ เป็นเพื่อน เป็นพ่อ หรือแม้แต่เป็นเจ้าบ่าวตัวปลอมก็เคยมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นการรับบทพ่อจึงไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเขา
ทาคาชินัดพบกับอาซาโกะหลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจถึงงานจ้างในครั้งนี้ว่าเขาควรเป็นคนแบบไหน รวมถึงการศึกษาบทบาทในภาพยนตร์ฮอลลีวูดอีกหลายเรื่อง เพื่อเตรียมพร้อมกับสำหรับบทบาทที่มีความละเอียดอ่อนในครั้งนี้
“คำขอของฉันง่ายมาก” อาซาโกะให้สัมภาษณ์กับ BBC “อย่างแรก ฉันอยากให้เขาพูดว่าเสียใจแค่ไหนที่เขาไม่สามารถอยู่ในชีวิตของเมกุมิได้ อย่างที่สองฉันต้องการให้เขารับฟังสิ่งที่เมกุมิอยากระบายกับเขา”
จากนั้นอาซาโกะก็บอกลูกสาวของเธอว่า พ่อไปแต่งงานใหม่และตอนนี้มีอีกครอบครัวที่ต้องดูแล แต่พ่อเพิ่งติดต่อมาก็เพราะต้องการพบกับเมกุมิ ในตอนแรกเด็กสาวตกใจ แต่ในที่สุดเธอก็ยอมไปพบกับเขา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทาคาชิรับบทเป็น “ยามาดะ” ซึ่งมันกลายเป็นการรับบทบาทที่ยาวนานที่สุด และกลายเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันมากที่สุดอีกด้วย
“มันเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนมากในตอนนั้น” ทาคาชิกล่าวถึงการพบกันครั้งแรกกับเมกุมิ “เธอถามผมว่าทำไมไม่เคยมาหาเธอเลย และผมรู้สึกถึงความคับแค้นใจของเธอได้”
3. กลายเป็นครอบครัว
หลังจากนั้น ทาคาชิเริ่มไปพบกับอาซาโกะและเมกุมิเดือนละ 2 ครั้ง เขาไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูหนัง และไปงานปาร์ตี้วันเกิด ซึ่งแค่เพียงไม่นาน พฤติกรรมของเมกุมิก็เปลี่ยนไป เธอกลายเป็นเด็กที่ร่าเริง พูดเก่ง และเธอก็ตัดสินใจไปโรงเรียนอีกครั้ง นั่นคือตอนที่อาซาโกะคิดว่าการโกหกของเธอมันคุ้มค่า
“เธอค่อย ๆ มีความสุขมากขึ้นและมั่นใจมากขึ้น” ทาคาชิยืนยัน “ตามปกติแล้วเราจะไปเที่ยวด้วยกัน 3 คน แต่วันหนึ่งเธอบอกว่าอยากออกไปกับพ่อแค่ 2 คน ผมจึงพาเธอไปและเธอก็กล้าจับมือผมเป็นครั้งแรก”
แต่การจ้างทาคาชิทุกเดือนทำให้อาซาโกะต้องบริหารจัดการเงินค่าใช้จ่ายในบ้านอย่างรัดกุม ทุกครั้งที่เธอใช้บริการเขา เธอจะต้องจ่ายเงินจำนวน 10,000 เยน ดังนั้นเธอจึงยอมลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นแทน อาซาโกะคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่มีพ่อให้กับเมกุมิ มันจะส่งผลเสียต่อชีวิตลูกสาวเธอมากแค่ไหน
3. ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
ถึงแม้เรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงสำหรับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหามากกว่านั้นก็คือความผูกพันทางอารมณ์และผลกระทบทางจริยธรรมของการแกล้งทำเป็นมีความสัมพันธ์ที่จอมปลอมที่ยาวนานกว่าทศวรรษ
ทาคาชิยอมรับว่า ตัวละครของเขา ‘ยามาดะ’ กับเมกุมิ มีความใกล้ชิดกันมาก พวกเขาทำตัวเหมือนครอบครัวเดียวกัน และเมื่อทั้งคู่บอกรักกัน มันกลายเป็นว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
“การปรับเปลี่ยนบุคลิกและตัวตนของผมเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับงานนี้” ทาคาชิกล่าว “แต่ผมก็เป็นมนุษย์ มันมีความขัดแย้งทางอารมณ์เสมอเวลาที่ผมพูดว่า ‘พ่อรักลูก’ กับเด็กคนนั้น มันคือธุรกิจ ผมต้องทำและต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ”
แม้ว่าตอนนี้ทาคาชิจะทุ่มเทในการรับบทยามาดะอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยอมรับว่ายิ่งรับบทนี้นานเท่าไหร่ เรื่องราวมันก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ตัวอย่างเช่นถ้าเมกุมิโตขึ้น ต้องแต่งงานและมีลูก เขาก็ต้องรับบทเป็นคุณตาเช่นกัน และอาซาโกะก็ต้องเสียเงินค่าจ้างมากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ไม่ได้เกิดระหว่างพ่อกับลูกเท่านั้น แม้แต่อาซาโกะเองก็เช่นกัน เธอยอมรับว่าหลังจากแกล้งทำเป็นมีความสัมพันธ์กับยามาดะนานถึง 10 ปี เธอก็เริ่มมีความรู้สึกกับเขา แต่เธอก็ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า เธอกำลังตกหลุมรักคนที่ไม่ใช่ตัวจริง
ส่วนทาคาชิต้องพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมาว่า เขาอยู่กับเธอและลูกสาวเพราะได้รับค่าจ้างเท่านั้น ซึ่งอาซาโกะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับในจุดนี้
“ฉันรู้ดีว่าเขาอยู่กับเราเพียงเพราะเราจ่ายเงินให้เขา” อาซาโกะกล่าว “ฉันเพ้อฝันถึงความสัมพันธ์ของเราว่า เราอาจเป็นครอบครัวเดียวกันเข้าสักวัน มันช่วยฉันทั้งทางด้านอารมณ์และจิตใจเช่นกัน”
4. ปัญหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจมีคำถามว่า “ถ้าวันหนึ่งพ่อของเมกุมิปรากฏตัวขึ้นมาล่ะ”
อาซาโกะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาหายตัวไปนานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว และไม่เคยติดต่อกลับมาเลย แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง อาซาโกะคิดว่าลูกสาวของเธอจะเลือกคุณพ่อตัวปลอมมากกว่าตัวจริง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงนักแสดงก็ตาม
อาซาโกะคิดว่าเธอจะจ้างทาคาชิต่อไปเรื่อย ๆ เขาจะได้ไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาว จากนั้นก็รับบทคุณตา เธอเข้าใจดีว่าผู้คนส่วนใหญ่คงรับไม่ได้กับทางเลือกนี้ แต่เธอก็ยืนยันกับการตัดสินใจในครั้งนี้ไปแล้ว
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อโกหกลูกสาวตัวเอง แต่ฉันก็จนปัญญาจริง ๆ” อาซาโกะกล่าว “จะมีใครที่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังที่ต้องเห็นลูกของคุณเจ็บปวดบ้าง”
สำหรับทาคาชิ เขาบอกว่าถ้าเมกุมิรู้ความจริง ในแง่ดีที่สุดก็คือ เมกุมิอาจจะขอบใจเขาที่ช่วยดูแลเธอมาตลอด มันคือจินตนาการที่ดีของเขา แต่ในอีกแง่หนึ่งเธอจะต้องใจสลาย เธออาจจะพูดว่า “ทำไมคุณถึงไม่โกหกฉันไปตลอดชีวิต”
“นี่คือหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุด สำหรับการเช่าคนมาแสดงเพื่อรับบทคนในครอบครัว” ทาคาชิกล่าว
เรื่องนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันบนโลกออนไลน์อย่างกว้างขวางถึงการตัดสินใจของอาซาโกะว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ แล้วคุณล่ะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของเธอแบบนี้
ที่มา : bbc | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ