พ่อแม่ชาวรัสเซียตัดสินใจพาลูกไปอยู่ป่า เพื่อหนีไวรัสโคโรนาระบาด

ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป ในขณะที่ทุกคนต้องกักตัวเองอยู่ในบ้านใช้ชีวิตแบบหวาดระแวงที่จะต้องพบเจอผู้คนเวลาไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็น แต่บางคนก็อาจตื่นตระหนกกว่านั้น และคิดว่าบ้านของเราอาจไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ตำรวจจากแคว้น Sverdlovsk ในประเทศรัสเซียได้รับแจ้งจากผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน Krasnogvardeisky โดยเธออ้างว่า น้องชายของเธอได้พาภรรยาของเขากับลูก ๆ สามคนที่มีอายุ 10 ขวบ 8 ขวบ และ 4 ขวบ หนีไวรัสโคโรนาเข้าไปในป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยผู้เป็นพี่สาวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เนื่องจากเธอเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ

จากการค้นหาเพียงไม่นาน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบครอบครัวทั้ง 5 ชีวิตกำลังอยู่อาศัยอยู่ในป่าโดยไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างใด ๆ พวกเขาอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดโล่งเท่านั้น

หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพบตัว ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัววัย 33 ปี บอกกับตำรวจว่า เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโนนา และเขาได้ยินมาว่า การแยกตัวแบบ Social Distancing ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยที่สุดก็คือ การแยกตัวเองเข้าไปอยู่ในป่าห่างไกลจากผู้คน ซึ่งเขาก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมาก

สิ่งที่เขานำติดตัวไปด้วยก็มีของใช้พื้นฐานอย่างเช่น เสบียงอาหารและโทรศัพท์มือถือ และหากเสบียงหมดลง พวกเขาก็วางแผนที่จะกลับไปที่ร้านขายของชำอีกด้วย

แต่การหนีเข้าไปอยู่ในป่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเด็ก ๆ ต้องนอนหลับบนกิ่งต้นไม้ใหญ่ภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดโล่ง และอุณหภูมิที่หนาวเย็น ซึ่งหลังจากถูกตำรวจพบเข้า ทั้งครอบครัวก็ถูกพากลับมายังหมู่บ้าน และถูกคุณหมอตรวจร่างกาย โดยทุกคนถูกพบว่ายังมีสุขภาพแข็งแรงดี

สุดท้ายนี้ ถึงแม้การพาลูก ๆ หนีเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าจะดูเหมือนเป็นสิทธิ์ของพ่อแม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ถือเป็นความผิดทางกฏหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่มีต่อเด็ก ซึ่งในกรณีนี้ ทั้งพ่อและแม่จะต้องถูกปรับเป็นเงินตั้งแต่ 100-500 รูเบิล (44-220 บาท)

ที่มา : themoscowtimes | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ