7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณที่ถูกลืม มีหน้าตาจริงๆ เป็นแบบไหน

ถ้าหากคุณเป็นคนที่สนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์ คุณอาจเคยได้ยินเรื่องราวของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญของโลก ถ้านับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ เราอาจได้ยินชื่อของ รูปปั้นพระเยซูคริสต์, กำแพงเมืองจีน, เมืองโบราณมาชูปิกชู, นครเพตรา, พีระมิดแห่งเมืองชีเชนอิตซา, สนามกีฬาโคลอสเซียม และทัชมาฮาล แต่ถ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคโบราณล่ะก็ จะเหลือเพียงมหาพีระมิดแห่งกิซาเพียงสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันนี้ แล้วสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นอื่นล่ะ มันเคยมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง Budget Direct บริษัทประกันภัยชื่อดังของออสเตรเลีย ได้จัดทำบทความเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ในยุคโบราณ ซึ่งได้แก่ มหารูปแห่งโรดส์, สวนลอยบาบิโลน, ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย, สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส, เทวรูปซุสที่โอลิมเปีย, วิหารเทพีอาร์เทมิส และมหาพีระมิดแห่งกิซา ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ถึง 6 แห่งไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบันให้เราเห็นแล้ว ดังนั้นทาง Budget Direct จึงได้ใช้คอมพิวเตอร์จำลองภาพแบบ 3 มิติที่ดูสมจริงขึ้นมาใหม่ และทำให้เราได้เห็นว่า สิ่งมหัศจรรย์ในยุคโบราณนั้น ดูอลังการไม่แพ้สิ่งมหัศจรรย์ในยุคใหม่เลยจริงๆ

1. มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes)

เป็นเทวรูปของสุริยเทพอพอลโล ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส มีความสูงประมาณ 104 ฟุต สร้างมาจากสำริด มือขวาถือประทีป ประดิษฐานบนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าวทางเข้าท่าเรือของเกาะโรดส์ ในทะเลอีเจียน ยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้

มหารูปนี้สร้างขึ้นโดย ชาเรสแห่งลินดอส ซึ่งเป็นประติมากรชาวกรีก ในราว 280 ปี ก่อนคริสตกาล ใช้เวลาสร้างประมาณ 12 ปี มีอายุยืนอยู่ได้ประมาณ 60 ปี ก่อนจะพังทลายลงด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อ 226 ปี ก่อนคริสตกาล ซากชิ้นส่วนของมหารูปได้ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีใครดูแล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากที่เหลืออยู่ถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเซน ไปทำอาวุธในการทำสงครามครูเสดจนหมด

2. สวนลอยบาลิโลน (Hanging Gardens of Babylon)

สวนลอยบาบิโลนตั้งอยู่ยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ในตำแหน่งของประเทศอิรักในปัจจุบัน ถูกสร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช

สวนลอยแห่งนี้มีความสูงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่าง ๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี สวนนี้ได้พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลังศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช

3. ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria)

นี่คือประภาคารโบราณที่ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่ 1 ตัวประคาภารมีความสูงเท่าใดไม่แน่ชัด แต่อยู่ในระหว่าง 200-600 ฟุต (ขนาดพอ ๆ กับ เทพีเสรีภาพ) สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าในเวลากลางวันจะปล่อยควัน ในเวลากลางคืนจะเป็นแสงไฟสว่างที่เห็นได้จากระยะไกล ซึ่งยังไม่ทราบว่าใช้วิธีใดในการจุดไฟและส่องแสง บ้างก็สันนิษฐานว่าใช้กระจกในการส่องแสง

ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย มีอายุอยู่ได้ยาวนานถึง 1,600 ปี จนกระทั่งในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา ในปี ค.ศ. 1994 นักโบราณคดีได้ดำน้ำสำรวจบริเวณปากอ่าวอเล็กซานเดรีย พบหลักฐานของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นซากชิ้นส่วนของประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งบางส่วนเป็นหินที่หนักถึง 70 ตัน

4. สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (Mausoleum at Halicarnassus)

สุสานขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์ ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส หรือประเทศตุรกีในปัจจุบัน โดยถูกสร้างจากหินอ่อน สูง 140 ฟุต ฐานมีพื้นที่ 460 ฟุต มีรูปปั้นสิงโตขนาบบันไดที่ทอดไปสู่สุสาน สุสานรายล้อมด้วยรูปปั้นนักรบบนหลังม้า โดยมีเสาหินจำนวน 36 ต้น เป็นฉากหลัง หลังคาเป็นรูปทรงพีระมิด มีกษัตริย์มุสโซลูส และราชินีอาเตมีสเซีย ประทับยืนอยู่บนราชรถม้าซึ่งกำลังวิ่ง แต่ราชินีอาเตมีสเซียไม่มีโอกาสได้เห็นสุสานที่เสร็จสมบูรณ์ เพราะสิ้นพระชนม์เมื่อ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช

ส่วนสาเหตุการพังทลาย เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ชิ้นส่วนต่างๆ จึงถูกนำไปสร้างป้อมหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากชิ้นส่วนบางชิ้นที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่ บริติช มิวเซียม ในประเทศอังกฤษ

5. เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus)

เป็นเทวรูปของซูส ซึ่งเป็นประธานเทวสภาโอลิมปัส สร้างจากไม้ ประดับด้วยทองคำและงาช้าง ลักษณะประทับนั่ง อยู่บนฐานกว้าง 10 เมตรครึ่ง ตัวเทวรูปสูงประมาณ 12 เมตร (43 ฟุต) พระหัตถ์ซ้ายถือคทา พระหัตถ์ขวารองรับไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน ออกแบบก่อสร้างในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช โดยเทวรูปนี้ประดิษฐานอยู่ในวิหารซูส ที่โอลิมเปีย ประเทศกรีซ

เทวรูปนี้ถูกทำลายลงเพราะไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 475 ปัจจุบันนี้ไม่เหลือซากชิ้นส่วนใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย

6. วิหารเทพีอาร์เทมิส ที่เอฟิซัส (Temple of Artemis at Ephesus)

วิหารเทพีอาร์เทมิส ตุรกี เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีกโบราณ สร้างเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส หรือเทพเจ้าอารเตมิซ (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก

วิหารแห่งนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต มีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาแต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า ซึ่งเคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ๋และได้รับการซ่อมแซมโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช แต่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากเสาเท่านั้น

7. มหาพีระมิดแห่งกิซา (Great Pyramid of Giza)

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณเพียงอย่างเดียวที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ถือเป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อ 4,600 ปีมาแล้ว โดยใช้คนงานกว่า 1 แสนคน สร้างพีระมิดที่มีความสูงถึง 481 ฟุต หรือพอๆ กับตึก 40 ชั้น พีระมิดประกอบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5-15 ตัน จำนวน 2.3 ล้านก้อนวางเรียงกันขึ้นไป ซึ่งยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าชาวอียิปต์ใช้วิธีอะไรในการยกก้อนหินขึ้นไปกันแน่

แต่อีกสิ่งที่น่าทึ่งก็คือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่าไม่ได้มีสีแบบที่เราเข้าใจกัน แต่จริงๆ แล้วมันมีพื้นเรียบและมีสีขาวสว่างไสว ซึ่งส่วนภายนอกพีระมิดของจริงนั้นจะเป็นหินปูนสีขาววางซ้อนบนชั้นหินเอาไว้อีกที ส่วนเหตุผลที่องค์ฟาโรห์ต้องการให้พีระมิดเป็นสีขาวก็เพราะมันจะสะท้อนแสงแดดและโดดเด่นท่ามกลางทะเลทราย และความเงาของถึงขนาดสะท้อนแสงจันทร์ในยามค่ำคืนได้อีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่พีระมิดมีสภาพเหลืออยู่แค่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ก็เพราะยุคหลังจากนั้นพื้นผิวหินปูนส่วนใหญ่ถูกตัดออกไปใช้ทำสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่นมัสยิดในกรุงไคโร รวมไปถึงส่วนที่เหลือก็สึกกร่อนไปตามกาลเวลานั่นเอง

ที่มา : budgetdirect.com.au | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ