ถึงแม้การฉีดวัคซีนจะได้รับการยอมรับในกลุ่มคนจำนวนมาก ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องสมควรทำ แต่ก็ยังมีผู้คนบางกลุ่มที่ปลูกฝังความเชื่อกันแบบผิดๆ ที่คิดว่าการฉีดวัคซีนส่งผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งหญิงสาวคนหนึ่งที่ชีวิตของเธอต้องถูกทำลายเพราะการฉีดวัคซีนได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ แต่มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด
เมื่อเร็วๆ นี้ หญิงสาวนามว่า Tiffany Yonts ได้ทวิตบอกชาวเน็ตเกี่ยวกับประเด็นการแอนตี้การฉีดวัคซีน ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่เธอต้องออกมาแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองที่เกี่ยวกับ “วัคซีน” และสุขภาพส่วนตัวของเธอที่หลายคนไม่เคยรู้
“ตอนฉันอายุ 14 ฉันได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก-คอตีบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมตรวจสุขภาพ และเนื่องจากฉันเป็นนักว่ายน้ำ ฉันมีรูปร่างที่ยอดเยี่ยม สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความจุปอดที่น่าทึ่ง และแทบไม่เคยเป็นหวัด แต่การฉีดวัคซีนนั้นได้เปลี่ยนชีวิตฉันเพียงชั่วข้ามคืน”
“แขนของฉันมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากการติดเชื้อและมันปวดมาก ฉันเริ่มหายใจลำบาก กล้ามเนื้อส่วนใหญ่บนร่างกายหยุดทำงาน ปอดอักเสบจนต้องนอนติดเตียงกว่า 6 เดือน ฉันแทบจะขยับหรือหายใจไม่ไหว ฉันเกือบไม่รอดแล้วตอนนั้น”
“ฉันเริ่มเป็นอัมพาตบางส่วน ขนาดหายใจยังลำบากและเจ็บมากเนื่องจากกระบังลมเป็นอัมพาตบางส่วน (ที่เป็นแบบนั้นไปอีก 5 ปี) กล้ามเนื้อของฉันลีบลง มีอาการเหมือนเส้นโลหิตไปเลี้ยงสมองอุดตัน จนทำให้ฉันต้องนั่งวีลแชร์”
“มันเหมือนตื่นอยู่ในฝันร้าย และเลวร้ายลงเพราะขาดการวินิจฉัยที่ดีพอ มันใช้เวลา 2 ปีสำหรับเราที่จะหาชื่อของโรคฉันว่ามันคือ ‘กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร’ หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งถูกระบุไว้อย่างเป็นทางการว่า มีความเป็นไปได้ที่เป็นผลข้างเคียงมาจากวัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ”
“มีเพียง 30% ของคนเป็นกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ที่ยังคงแสดงอาการหลังจาก 3 ปี มีเพียง 3% เท่านั้นที่ทรุดหนัก และฉันอยู่ในทั้ง 2 กลุ่มนี้ มันเป็นเวลา 14 ปีแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง จนใช้เวลา 6 ปีเริ่มต้นฟื้นฟูตัวเอง แต่ฉันก็มาทรุดลงอีกเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา”
“ฉันใช้เวลาหลายวันนอนหายใจพะงาบๆ อยู่บนพื้น ฉันไม่สามารถนั่งได้เกินกว่า 5 นาทีในแต่ละครั้ง ฉันยังคงใช้วีลแชร์ ถ้าฉันจะไปที่ไหนสักแห่ง ฉันต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 ชั่วโมง และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูแลสุขอนามัยของตัวเองแบบรวดเดียวเสร็จ”
“วัคซีนนั่นทำลายชีวิตฉัน ฉันยังคงแพ้ภูมิตัวเองและยังเป็นโรคร้ายแรงอยู่เสมอ ฉันจะทรุดลงอีกได้ทุกเวลา และไม่มีหมอคนไหนช่วยฉันได้ ไม่มีการรักษาอีกแล้ว นี่คือความเป็นจริงของชีวิตฉันที่เหลืออยู่”
“ตอนนี้ หลายคนอาจคิดว่าฉันเป็นพวกแอนตี้วัคซีน แต่ฉันคือคนที่สนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับทุกๆ คนที่สามารถรับได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง (ซึ่งนั่นไม่รวมคนที่แพ้ภูมิตัวเองเป็นเหมือนฉัน)”
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ในล้าน ใช่แล้ว ฉันเป็น ฉันเป็นมากกว่าที่ฉันอธิบายได้และฉันก็ยังเป็นต่อไป แต่ฉันเป็น 1 ในล้านคน”
“ไม่มียาสมัยใหม่ที่ไร้ความเสี่ยง ไม่มีอะไรในชีวิตที่ไร้ความเสี่ยง ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีและทุกคนก็ควรเข้าใจเช่นกัน ต้องมีคนที่เป็นเหมือนฉัน ในขณะที่คนส่วนใหญ่จะปลอดภัยและแข็งแรง นั่นคือความจริง”
“เมื่อคุณไม่ได้ฉีดวัคซีน คุณก็ทำให้ชีวิตคนอย่างฉันที่ไม่สามารถรับวัคซีนได้ต้องเสี่ยงอันตราย คุณกำลังเล่นรัสเซียนรูเล็ตต์กับชีวิตของพวกเรา เพียงเพราะคุณกังวลกับสถิติ 1 ในล้านงั้นหรือ นั่นมันยิ่งกว่าเห็นแก่ตัว และไม่ควรมีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้”
“ช่วยให้คนทั่วไปและช่วยให้คนอย่างเราปลอดภัยเถอะ ไปฉีดวัคซีนซะ พาลูกคุณไปฉีดวัคซีนด้วย หยุดฟังทฤษฎีสมคบคิดแล้วมองสถิติจริงๆ ดูบ้าง ลองคิดถึงคนที่เป็นมะเร็งหรือแพ้ภูมิตัวเองหนักๆ ที่ฉีดวัคซีนไม่ได้ต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหน”
“ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีจิตสำนึกต่อสังคมและแคร์คนอื่นด้วย ไปฉีดวัคซีนเถอะ ขอบคุณค่ะ”
“(เผื่อว่าคุณไม่ได้สนใจคนอื่น มันก็จะดีต่อสุขภาพของตัวคุณและลูกคุณด้วย อีกครั้งนะ สถิติ อ่านมันซะ)”
และนี่ก็คือโพสต์ทั้งหมดของเธอที่อาจเตือนใจให้ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน เพราะหากเรามองกันถึงสถิติจริงๆ โอกาสเกิดบาดทะยัก คอตีบ รวมถึงโรคอื่นๆ ที่ต้องฉีดวัคซีนป้องกัน มันเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ง่ายกว่ามาก เมื่อเทียบกับโรคที่มีโอกาสเกิดเพียง 1 ในล้าน ดังนั้นเมื่อคุณมีโอกาสเสี่ยงทั้งฉีดและไม่ฉีด ทำไมเราไม่เลือกทางเสี่ยงที่มันน้อยกว่าล่ะ ?
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา