ด้วยเทคโนโลยีการเดินทางของมนุษย์เราในทุกวันนี้ ทำให้เราสามารถไปที่ไหนก็ได้ในโลกภายในระยเวลาไม่เกิน 1 วัน แต่ข้อสรุปนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุกสถานที่บนโลก เพราะวันนี้เพชรมายาจะพาคุณไปพบกับสถานที่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอันเวิ้งว้าง และคุณอาจต้องใช้เวลาเดินทางด้วยเรือนานถึง 9 วัน เพื่อไปยังสถานที่แห่งนี้
พัลเมอร์สตัน คือเกาะประการังเล็กๆ ในหมู่เกาะคุก ที่อยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก
เกาะสวรรค์ที่สวยงามแห่งนี้ คือบ้านของผู้คนจำนวน 62 คนที่อาศัยอยู่บนเกาะ ชีวิตของผู้คนที่นี่คือความสโลไลฟ์อย่างแท้จริง ทุกคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีร้านขายของชำ แต่ละครอบครัวออกหากินด้วยตัวเองจากการออกไปตกปลา เก็บมะพร้าว พวกเขายังใช้เวลาว่างในการเล่นวอลเลย์บอล ว่ายน้ำ รวมถึงทำเครื่องประดับอีกด้วย
ถึงแม้ที่นี่จะฟังดูทุรกันดาร แต่ชาวเมืองพัลเมอร์สตันก็ยังมีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตให้ใช้ได้ แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังมีชาวเมืองบางคนที่ใช้มือถือรวมไปถึงมีทีวีดาวเทียมอีกด้วย และเนื่องจากที่นี่ไม่มีร้านค้าใดๆ เงินจึงถูกใช้สำหรับซื้อของต่างๆ จากโลกภายนอกเท่านั้น
แล้วน้ำจืดล่ะ ? ชาวเมืองพัลเมอร์สตันจะใช้วิธีรองน้ำฝนเอาไว้ดื่ม ส่วนห้องน้ำบนเกาะแห่งนี้จะอยู่เพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น และในทุกๆ วันอาทิตย์ เมื่อระฆังของโบสถ์ดังขึ้น จะไม่มีการให้ผู้คนทำงานหรือเล่นแต่อย่างใด ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเงียบสงบจนกระทั่งยามค่ำคืน
ส่วนสาเหตุที่คุณได้ต้องเวลาเดินทางถึง 9 วันก็เพราะการเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ จำเป็นต้องเดินทางด้วยเรือเท่านั้น และไม่มีเครื่องบินมาลงจอด และไม่มีพื้นที่พอสำหรับการจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเสี่ยงต่อแนวปะการังของเกาะอีกด้วย นั่นจึงทำให้การเดินทางเข้าออกมายังเกาะแห่งนี้ค่อนข้างยากลำบาก และส่งผลต่อผู้อยู่อาศัยภายในเกาะ เช่น ถ้าเกิดคุณต้องการเดินทางออกจากเกาะไปหาหมอฟัน คุณอาจต้องใช้เวลารวมแล้วเป็นเดือนก็ได้
เดิมทีเกาะแห่งนี้ถูกพบโดยกัปตัน เจมส์ คุก นักสำรวจชื่อดังชาวอังกฤษตั้งแต่ในศตววรษที่ 19 แต่มันก็เป็นเกาะร้างมานานกว่า 80 ปี จนกระทั่งมันกลายเป็นของ จอห์น แบรนเดอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษที่ได้ว่าจ้างให้ วิลเลียม มาร์สเตอส์ ไปดูแลเกาะและทำน้ำมันมะพร้าวให้
ในปี ค.ศ. 1863 วิลเลียมผู้เป็นช่างไม้ และภรรยาและญาติของเธออีก 2 คน ได้ย้ายไปอยู่บนเกาะพัลเมอร์สตัน ทั้งหมดช่วยกันปลูกต้นมะพร้าวดูแลเก็บเกี่ยวและทำน้ำมันมะพร้าวไปขายเพื่อแลกกับอาหารและข้าวของเครื่องใช้ จนภายหลัง วิลเลียมได้แต่งงานกับญาติของภรรยาอีก 2 คน นี่มันคือเกาะสวาทหาดสวรรค์ของช่างไม้ชาวอังกฤษผู้นี้โดยแท้
ในตอนแรกๆ การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ต่อมาก็เริ่มประสบปัญหา โดยวิลเลียมเคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“ผมถูกส่งมาที่นี่โดย จอห์น แบรนเดอร์ เพื่อทำน้ำมันมะพร้าวให้เขา ในช่วง 6 ปีแรก เรือของเขามาหาผมเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นพวกเขาทิ้งให้ผมรอ 2-3 ปีครั้ง จนในที่สุดพวกเขาก็ไม่มาที่นี่อีกเลย” ซึ่งปัญหาคือ วิลเลียมจะไม่ได้รับอาหารและของใช้อีก แต่เขาก็ยังเอาชีวิตรอดต่อไปได้จากมะพร้าวที่เป็นอาหารหลัก
นี่คือบ้านดั้งเดิมของ วิลเลียม เมอร์สเตอส์ ที่ถูกสร้างขึ้นจากซากเรือ ยังคงเห็นได้จนถึงทุกวันนี้
หลังจากที่ จอห์น แบรนเดอร์ เสียชีวิต พระราชินีวิคตอเรียได้มอบกรรมสิทธิ์ของเกาะแห่งนี้ให้กับวิลเลียม ต่อมาภายหลัง มะพร้าวที่เขาปลูกไว้เกิดติดโรคจนต้องทำลายทิ้งทั้งหมด และนั่นส่งผลให้เขาต้องเสียชีวิตจากการขาดอาหาร เกาะทั้งหมดจึงถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อมอบให้กับภรรยาของเขาทั้ง 3 คน
อีก 60 ปีต่อมา ในระหว่างปี 1950-1970 ได้มีผู้คนจากต่างถิ่นเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นรวมแล้วกว่า 300 คน แต่ลูกหลานของวิลเลียมเองก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยในเมืองแห่งนี้ มีหลายครั้งที่พบว่าคู่แต่งงานจริงๆ แล้วเป็นญาติๆ กันเอง ตัวอย่างเช่นเคสของนายกเทศมนตรีที่เคยสารภาพกับสื่อว่า “พ่อของภรรยากับพ่อของผมเป็นพี่น้องกัน ผมไม่รู้ แต่หลังจากที่รู้มันก็สายไปแล้ว เพราะเรามีลูกด้วยกันเรียบร้อย”
ในปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่ในเกาะต่างพยายามออกไปจากเกาะแห่งนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาอยากให้กำเนิดลูกที่แข็งแรง จนทำให้ประชากรบนเกาะลดลงเรื่อยๆ ผู้คนที่อยู่บนเกาะเองก็มีพื้นที่มากเกินกว่าที่พวกเขาจะทำสวนได้ และนั่นจึงทำให้พวกเขายื่นข้อเสนอให้ที่ดินฟรีกับผู้คนจากต่างถิ่น เพื่อเข้าไปอยู่อาศัยแบบถาวร แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีใครที่อยากจะไปอาศัยอยู่สุดขอบโลกท่ามกลางธรรมชาติ จริงๆ จังๆ เลยแม้แต่คนเดียว
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ